Ubisoft ผู้พัฒนาเกมชื่อดังเจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง Assassin’s Creed กำลังเผชิญวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ หลังมูลค่าบริษัทดิ่งลงถึง 80% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาที่สูญเสียมูลค่าไปถึง 47% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางการเงินที่รุนแรง จนอาจนำไปสู่การล้มละลายในอนาคตอันใกล้
สถานการณ์ที่น่าวิตกนี้มีสาเหตุหลักมาจากความล้มเหลวทางการค้าของเกมใหม่ๆ อย่าง Star Wars Outlaws, Skull and Bones, Avatar: Frontiers of Pandora และ Prince of Persia: The Lost Crown ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ตามเป้า ประกอบกับการไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนเกม ส่งผลให้บริษัทต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเติมเพื่อประคองสถานการณ์
จากรายงานทางการเงินล่าสุดเผยว่า ยูบิซอฟต์มีหนี้สินสุทธิแบบ non-IFRS สูงถึง 1.1 พันล้านยูโร และหนี้สินสุทธิแบบ IFRS อยู่ที่ 1.4 พันล้านยูโร โดยมีการเพิ่มขึ้นของหนี้สินจากปีก่อนหน้าถึง 880 ล้านยูโร สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทไม่สามารถสร้างกำไรที่เพียงพอต่อการดำเนินกิจการ
ปัญหาสำคัญคือการที่บริษัทละเลยความต้องการของแฟนเกม จนสูญเสียอัตลักษณ์ที่เคยมี โดยเฉพาะในซีรีส์ Assassin’s Creed ที่แฟนๆ ต้องการประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิม แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง จนต้องเลื่อนการเปิดตัวเกมภาคใหม่ออกไปถึงปีหน้า
นอกจากนี้ การปิดตัวของเกม xDefiant หลังจากความล้มเหลวของ Star Wars Outlaws และ Skull and Bones ที่ใช้งบประมาณในการพัฒนาสูงถึง 850 ล้านดอลลาร์ ยิ่งตอกย้ำถึงวิกฤตที่บริษัทกำลังเผชิญ แม้จะมีข่าวลือเรื่องการเข้าซื้อกิจการจาก Tencent แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน