หลายคนอาจจะคิดว่า WiiU คือความล้มเหลวหนักสุดของ นิเทนโด เพราะ 4 ปีขายไปได้ 14 ล้านเครื่อง แต่ความจริงแล้ว Virtual Boy สุดยอดความล้มเหลวของนินเทนโด ที่เป็นหนึ่งเครื่องเกมที่ล้มเหลวที่สุดตลอดกาลด้วยยอดขายหลักแสนเครื่องเท่านั้น เมื่อเทียบว่ามันเป็นคอนโซลจากค่ายใหญ่ ไปดูกันว่าเหตุผลอะไรทำให้มันล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าแบบนี้
ในภาพ famicom 3d system แว่น VR ตัวแรกของนินเทนโด
โดย Virtual Boy ก็ได้ชื่อว่าถูกสร้างโดย บิดา แห่งเกมบอย คุณ Gunpei Yokoi เหมือนเดิม จากการเล่นที่เน้นภาพ 3 มิติ แบบสวมแว่นตา แบบในหนัง ไซไฟยุคเก่าๆ หรือแว่น VR ในยุคนี้เช่น PSVR ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่ไอเดียใหม่แต่อย่างไร เพราะแว่น 3 มิติแบบนี้มีมาทั้งแต่เมื่อ 25 ปีที่แล้วในยุค แฟมิคอม โดยออกวางจาหน่ายในปี 1987 ในชื่อตรงตัวว่า famicom 3d system โดยออกเฉพาะในญี่ปุ่น ที่ใช้หลักการรวมภาพที่ซ้อนกันบนจอเข้าด้วยกัน โดยมีเกมออกมารองรับไม่มากและเงียบหายไปจากตลาดเกม
และสำหรับ Virtual Boy ที่มี Code Name ว่า VR 32 ถือว่าเป็นเครื่องเกม 3 มิติด้วยตัวเองไม่ต้องเพิ่งพาหน้าจอทีวี เพราะตัวเกมเป็นเครื่องเกมพกพาที่มีหน้าจอในตัว โดยเครื่องมีลักษณะเหมือนกล้องส่องทางไกล ที่มีขาตั้ง และมี คอนโทรลเลอร์ ติดอยู่กับหน้าจอ ที่มีลักษณะ แบบจอยเกมทั่วไป แต่ที่แปลกหน่อยคือ มีปุ่ม D-pad 2 ด้าน เพื่อควบคุมเกม 3 มิติเหมือน อนาล็อก 2 ข้างในเครื่องเกมยุคนี้ และมีสื่อเป็นตลับเกมเหมือนเกมบอยรุ่นพี่ โดยวางขายที่ญี่ปุ่นวันที่ 21 กรกฎาคม 1995 และในอเมริกาวางขายวันที่ 4 สิงหาคม 1995
บอกไว้ก่อนเลยว่า Virtual Boy เป็นเครื่องเกมที่เป็นประวัติศาสตร์ของค่ายเกมทุกค่าย ตรงที่มันเป็นเครื่องเกมจากค่ายยักษ์ใหญ่ ที่ขายได้น้อยที่สุด โดยขายไปได้เพียง 770,000 เครื่องตามข้อมูลที่เปิดออกมา และมีเกมออกมารองรับแค่ 14 เกม ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และขายได้เพียงครึ่งปี ก็พับกลับบ้านไปอย่างไม่น่าเสียดาย แล้วทำไมมันถึงขายไม่ดี? เพราะปัญหาของมันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเครื่องที่บอกว่าตนเองเป็นเครื่องเกมพกพา แต่ลักษณะของเครื่องเกมที่ไม่สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก เพราะทั้งขนาดที่ใหญ่ และหนัก และต้องหาที่วางขาตั้งเพื่อนั่งเล่น แถมแบตเตอร์รี่ ที่ใหญ่และหนักเช่นกัน แค่นี้ก็ผิดกับเครื่องเกมพกพาทั่วไปราวฟ้ากับเหวแถมยังเล่นได้ไม่นานเท่าที่ควร
เท่านี้ยังไม่พอ ด้วยการแสดงผลของ เกมที่ทำได้แค่ 2 สีคือดำ กับ สีแดง ซึ่งเป็นสีที่ไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นเลย เพราะเล่นไปนานๆก็แสบตา รวมทั้งรูปแบบของเกมที่ทำออกมารองรับ ก็แทบไม่ได้ใช้ความเป็น 3 มิติเท่าไร เกมส่วนใหญ่จะเป็นเกม 2 มิติธรรมดา หรือเกม 3 มิติก็แสดงผลออกมาได้ดูยากมากๆ เพราะมีแค่ 2 สีทำให้มองรูปร่าง โพลิกอน 3 มิติได้ลำบาก แม้เครื่องเกมจะมี Cpu ระดับ 32 บิต แต่ด้วยการแสดงผลที่แย่ การแสดงภาพ 3 มิติก็ไม่ได้แปลกใหม่ เพราะเป็นการทำภาพซ้อนกันและยิงเข้าไปที่ดวงตาของผู้เล่นทำให้เกิดภาพ 3 มิติ และทำให้ Virtual Boy กลายเป็นเครื่องเกมพกพาที่ล้มเหลวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้หากนับว่ามันสร้างโดยยักษ์ใหญ่อย่างนินเทนโด
ว่ากันว่า ความล้มเหลวนี้เกิดจากการที่ นินเท็นโด ต้องการีบเข็น เครื่อง Virtual Boy ออกมาให้เร็วที่สุด ทาให้เกิดความขัดแย้งกับผู้สร้าง เพราะผู้สร้างอยากให้จอแสดงผลได้มากกว่า 2 สี จนหลังจากจบงาน คุณ Gunpei Yokoi ได้ลาออกจากนินเท็นโด และหลังจากนั้นไปอยู่กับค่าย บันได และสร้างเครื่องเกมมือถือ นาม Wonder swan แต่เป็นที่น่าเสียดาย คุณ Gunpei Yokoi เสียชีวิตด้วย อุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1997 ด้วยวัยเพียง 56 ปี ทาให้เขาไม่ได้เห็น Wonder swan ผลงานของตนเอง เป็นอันปิดตำนานผู้สร้างเกมบอยไปอย่างน่าเสียดาย แต่ในภายหลังมีข้อมูลแย้งมาระบุว่าเหตุที่เขาลาออกไม่ใช่ความล้มเหลวของ Virtual Boy แต่ด้วยความที่ Virtual Boy มันขายไม่ได้นี่เอง ทาให้ในปัจจุบันกลายเป็นของหายาก และมีราคาแพงมาก ในไทยเองในยุคที่ Virtual Boy ออกก็ผู้เขียนเองก็แทบไม่เคยเห็นที่ไหน แต่ในปัจจุบันยังพอหาได้ตามร้านที่ขายเกมเป็นของสะสม แต่ก็มีราคาที่สูงมากๆ ผู้เขียนเองเคยได้สัมผัส 2 ครั้งเท่านั้นในงานเกม
แม้การเข้าสู่โลก 3 มิติของเครื่องเกม Virtual Boy จะล้มเหลวอย่างหนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นความพยายามที่จะสร้างความแปลกใหม่กับวงการเกม อีกครั้งของ นินเท็นโด โดยหลังจากนั้น ปู่นินเองได้ออกเครื่องเกมพกพาจอ 3 มิติ มาอีกครั้ง คราวนี้มาแบบไม่ต้องใส่แว่น ซึ่งก็คือเครื่องเกม Nintendo 3DS ซึ่งถือเป็นการกลับมาแก้มือได้อย่างดี และขายดีแบบถล่มทลาย และด้วยเทคโนโลยีในยุคนี้ ที่ทำให้แว่น VR กลับมาเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็น PSVR ของคู่แข่งอย่าง Sony และ HTC vive รวมทั้งแว่น VR ที่ใช้สมาร์ทโฟน ที่หากปู่นินจะหวนกลับมาในตอนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องดีเผื่อจะได้แก้มืออีกครั้ง