vivo เตรียมยกระดับวงการกล้องสมาร์ตโฟนอีกครั้งกับ X200 Ultra โดยล่าสุด Han Boxiao ผู้บริหารของแบรนด์ได้เผยข้อมูลชุดใหญ่ผ่าน Weibo ทั้งภาพตัวกล้องและสเปกของกล้องหลังที่ดูเหมือนจะตั้งใจท้าชนกับคู่แข่งระดับเรือธงแห่งปีเลยทีเดียว
กล้องหลักของ X200 Ultra จะใช้เลนส์ 35mm ซึ่งถือว่าเป็นระยะที่แคบกว่าเลนส์กล้องสมาร์ตโฟนทั่วไปที่มักใช้ระยะ 24mm โดย 35mm นี้เทียบเท่ากับระยะซูมราว 1.5x ซึ่งให้มุมมองภาพที่โฟกัสได้ลึกและมีมิติขึ้น จุดนี้เคยมีเพียงสมาร์ตโฟนจาก ZTE เท่านั้นที่เคยนำมาใช้ ทำให้การที่ vivo เลือกใช้งานระยะนี้ ถือเป็นการนำเทรนด์ใหม่ที่อาจกลายเป็นกระแสในปี 2025–2026 ก็เป็นได้
นอกจากนี้ Han Boxiao ยังเผยว่า X200 Ultra จะมาพร้อมกับกล้อง ultrawide ระยะ 14mm และกล้อง periscope 200MP ระยะ 85mm ที่ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่จากรุ่น X100 Ultra และ X200 Pro
กล้อง periscope 200MP รุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมโมดูลที่ใหญ่ขึ้น, รูรับแสงกว้างขึ้น 38% เพื่อให้เก็บแสงได้มากกว่าเดิม, ใช้เลนส์และปริซึมแบบพิเศษ รวมถึงเคลือบผิวใหม่ทั้งหมด โดยทาง Han ยังได้เปรียบเทียบขนาดโมดูลนี้กับของ X100 Ultra และกล้อง periscope ขนาด 1/2 นิ้วที่ใช้ทั่วไปในตลาด ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากล้องรุ่นใหม่นี้เหนือกว่าทุกด้าน
สำหรับกล้อง ultrawide เอง Han ยังเคลมว่าเป็นกล้องที่ “แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม” โดยขนาดเซ็นเซอร์เทียบเท่ากับกล้องหลัก ซึ่งตรงกับข่าวลือก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า X200 Ultra จะใช้เซ็นเซอร์ LYT-818 ขนาด 1/1.28 นิ้ว ทั้งในกล้องหลักและกล้อง ultrawide
ในส่วนของสเปกอื่นๆ นักปล่อยข่าวชื่อดัง Digital Chat Station ได้เผยว่า X200 Ultra จะมาพร้อมหน้าจอ โค้งสี่ด้านขนาด 6.82 นิ้ว ความละเอียด 2K รีเฟรชเรต 120Hz แบบ LTPO, กล้องหน้า 50MP, กล้องหลักและกล้อง ultrawide อย่างละ 50MP, กล้อง periscope f/2.27, ชาร์จไว 90W, รองรับชาร์จไร้สาย, แบตเตอรี่ราว 6,000mAh, สแกนลายนิ้วมือแบบ ultrasonic, ส่งข้อความผ่านดาวเทียม และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68/IP69
แม้ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าอิงจากที่ผ่านมา รุ่น X100 Ultra นั้นมีจำหน่ายเฉพาะในจีนเท่านั้น แต่ก็มีข่าวว่า X200 Ultra จะวางจำหน่ายนอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก เพราะถ้ายังจำกัดการขายอยู่แค่ที่เดียวเช่นเดิมก็น่าเสียดาย เพราะนี่คือหนึ่งในไม่กี่รุ่นในตลาดที่มีกล้องหลักระยะ 35mm และยังมีระบบกล้องซูมที่น่าจับตามองอย่างมากทีเดียว
ที่มา: Android Authority