“iPad เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงเจตจำนงการพัฒนา PC ในอนาคตของ Apple ได้ชัดเจนที่สุด”
จากประโยคด้านบนที่กล่าวโดย CEO ของ Apple นั้นทำให้เราได้ทราบถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นกับ iPad ในงานอีเวนท์ของ Apple ที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเลยครับ อย่างที่เราทราบกันดีว่าการมาของ iPad ตัวใหม่อย่าง iPad Pro นอกจากความใหญ่ที่มากขึ้นแล้ว มันยังมาพร้อมกับความบางและความเร็วที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆอีกด้วยครับ
โดยในงานเปิดตัวหลังจากที่ทางนาย Tim Cook ได้นำเจ้า iPad Pro มาแสดงบนเวที เขาก็ได้กล่าวออกมาว่าเจ้า iPad ตัวนี้จะเป็น PC หรือคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในอนาคตครับ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะมีการพัฒนาให้ดีขึ้นในหลายๆด้าน เราก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ครับว่า iPad Pro ตัวนี้จะเหมาะกับการใช้งานของเราจริงๆหรือไม่
หลังจากที่เราได้พูดถึงในส่วนรูปลักษณ์เจ้า iPad Pro กันไปบ้างแล้ว เรามาดูในส่วนของซอฟท์แวร์กันบ้างดีกว่าครับ
จริงๆแล้ว iPad นั้นเป็นอะไรที่แตกต่างจากอุปกรณ์อื่นๆอย่างมากเลยนะครับหากว่าเราลองมองกันดีๆ เพราะหากเราพูดถึง Watch หรือนาฬิกาข้อมือ ยังไงมันก็ต้องเป็นนาฬิกาข้อมืออยู่วันยังค่ำ หรือหากว่าเราพูดถึงโทรศัพท์มือถือ มันก็ควรเป็นอะไรที่เราสามารถเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงได้ใช่ไหมล่ะครับ แต่เจ้า iPad กลับเป็นอะไรที่ไม่เหมือนใคร จะบอกว่าเป็นอุปกรณ์ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือพิมพ์ดีด แม้กระทั่งแผนที่ หรือใช้ในการทำงาน ออกแบบโครงสร้างต่างๆมันกลับสามารถเป็นได้หมดครับ ดังนั้นเราจะมองว่ามันเป็นเพียงแท็บเล็ตทั่วๆไปคงจะไม่ได้แล้วครับ เพราะมันค่อนข้างจะพิเศษมาก
iOS 9 เป็นกุญแจดอกสำคัญ
หลังจากที่ได้เริ่มทำการทดสอบ iOS 9 betas บอกเลยครับว่า iPad Pro ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตของประวัติศาสตร์ Apple ไปเรียบร้อยแล้ว อย่างที่เราเห็นว่า Keynote หลักจะให้ความสำคัญกับฟีเจอร์ split-screen multitasking ที่จะใช้ร่วมกับ iPad ใน iOS 9 ครับ ซึ่งการใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวนี้กับ iPad Air 2 ก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไรครับจากที่ผมได้ทดลองใช้ดู ซึ่งนั่นก็เป็น้้พราะยขนาดจอที่มีจำกัดแตกต่างกับ iPad Pro
อย่างเวลาที่เราใช้งานแอพ 2 แอพพร้อมกัน ด้วยการแบ่งหน้าจอเป็น 50-50 ใน iPad Air 2 แต่ละแอพจะมีหน้าตาคล้ายกับการที่เราใช้งานแอพใน iPhone เลยครับ พูดง่ายๆว่าหากมีหน้าจอที่เล็ก การแสดงผลด้วยการแบ่งหน้าจอก็จะยิ่งเล็กตามลงไป ถึงมันจะมีหน้าตาออกมาใหญ่กว่า iPhone บ้างก็ตามที แต่การใช้งานเปรียบเสมือนกับเรากำลังใช้งานแอพใน iPhone เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นแอพอะไรก็ตามแต่
แตกต่างกับการใช้งานด้วย iPad Pro ที่หลังจากการแบ่งหน้าจอแล้ว เรายังสามารถใช้งานแอพต่างๆได้เหมือนกับการใช้งานแอพ iPad อยู่ ส่วนตัวแล้วทำให้เราเริ่มมองว่าการใช้ iOS ก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่ไม่ดีเท่ากับตอนนี้จริงๆครับ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่นานก็ตาม อย่างพวก iOS 7 และ iOS 8 นั่นแหละครับ
ซึ่งการมาของ iOS 9 ทำให้เราใช้มันในการทำงานได้อย่างสะดวกและง่ายดายขึ้นอย่างมาก ช่วยลดขั้นตอนต่างๆที่เราเคยใช้กันใน iOS 7 และ iOS 8 ไปได้เยอะทีเดียว นอกจากนี้การทำงานของ iOS 9 ยังเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่ผ่านมา แต่อาจจะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันสามารถทำหน้าที่แทนคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่างครับ
ผมมองแบบนี้เลยครับว่าฟีเจอร์อย่าง split-screen multitasking และคีย์บอร์ดที่มีขนาดเท่าของจริงนั้นเป็นฟีเจอร์ที่จะทำให้เจ้า iPad Pro กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมอย่างมากแน่ๆ
มุมของ Microsoft
เป็นเวลา 5 ปีมาแล้วครับที่ผมรู้สึกว่าการทำงานด้วย iPad เป็นอะไรที่เจ๋งที่สุดแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตัวผมเองเคยมีโอกาสได้ลองใช้ทั้ง Macs และ Chromebooks มาก่อน แต่การใช้งาน iPad กลับเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ผมได้มากที่สุด และก็ถือว่าเป็นข่าวดีมากๆที่ในที่สุด Apple ก็มีวิสัยทัศน์เดียวกับนาย Steve Jobs คือการมองว่า iPad จะกลายเป็นอนาคตของบริษัท
ซึ่งหากเป็นไปได้ผมอยากให้ Microsoft Surface เป็นอุปกรณ์ที่ไม่ได้ปล่อยออกมาโดย Microsoft ครับ หรือไม่ได้ใช้ซอฟท์แวร์ของ Microsoft สิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้ Apple ทำอะไรที่เหมือนกับ Surface นั่นเองครับ แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าให้ Apple จับเอา Mac OS X ใส่เข้าไปในแท็บเล็ตนะครับ ที่ผมหมายถึงคือผมต้องการให้ iPad สามารถทำงานได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปเลย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอื่นอีก
คำถามเรื่องราคา
สำหรับราคาของ iPad Pro นั้นต้องยอมรับเลยว่ามันไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีราคาถูก เพราะมันเริ่มต้นที่ 799$ และไปจนถึง 1049$ เลยทีเดียว ซึ่งนั่นถือว่าแพงเอาการอยู่ และหากว่าจะนำมาใช้ในการทำงานจริงๆเราก็ควรไปมองที่ตัว iPad Pro 128GB ที่มีราคาตั้งแต่ 949$ ในเวอร์ชั่น Wifi และ 1049$ ในเวอร์ชั่น LTE ครับ ซึ่งจะเห็นว่าราคาพอๆกับ Macs เลย
11″ MacBook Air (1.6GHz/4GB/128GB) – 899$
11″ MacBook Air (1.6GHz/4GB/256GB) – 1,099$
13″ MacBook Air (1.6GHz/4GB/128GB) – 999$
13″ Retina MacBook Pro และ 12″ MacBook เริ่มต้นที่ 1,299$
และตอนนี้ทาง Apple ก็ไม่ได้ออกมาประกาศนะครับว่า iPad Pro จะเข้ามาแทนที่แล็พท็อปของเราได้ ซึ่งแตกต่างจาก Microsoft ที่บอกว่า Surface คืออะไรที่สามารถแทนที่แลพท็อปได้ (อันที่จริงมันเป็นแล็พท็อปนั่นแหละครับ) เพราะ Apple น่าจะทราบดีครับว่าการมาของ iOS 9 ก็จะยังไม่สามารถทำ iPad เทียบเท่ากับแล็พท็อปได้นั่นเองครับ
ซึ่งหากมองเริ่องความจำเป็นของคนทั่วๆไป ผมเชื่อว่าผู้ใช้อาจจะเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าครับ ระหว่าง iPad Pro และ Mac แต่หากถามว่า iPad Pro จะตอบโจทย์ผู้ใช้ได้มากแค่ไหน ตรงจุดนี้ผมมองว่ามันเพียงพออยู่นะครับ เพราะด้วย iOS ตัวใหม่ก็ไม่ได้ทำให้ iPad Pro ด้อยไปกว่าการใช้แล็พท็อปเท่าไรเลยครับ
iPad Pro เหมาะกับใคร
จริงๆแล้วมันเหมาะกับใครหลายๆคนนะครับ เพราะด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและ Apple Pencil นั้นทำให้เจ้า iPad Pro สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะในส่วนของการทำงาน แต่อย่างที่เรียนไว้ข้างต้นครับว่ามันยังไม่เหมาะจะเข้ามาแทนที่แล็พท็อปได้ซะทีเดียว ดังนั้นหากใครที่เคยใช้แล็พท็อปมาหลายปีแล้ว iPad Pro อาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์
แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มใช้หรืออยากจะเปลี่ยนแนวบ้าง ผมถึอว่าเป็นเครื่องที่เหมาะมากๆเลยครับ เพราะนอกจากที่เราจะได้มาซึ่งความสะดวกสบายแล้ว มันยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้เราได้ดีทีเดียว ยิ่งมองถึงการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆเลยครับ ลองจินตนาการดูว่า iPad Pro ในปี 2020 จะสามารถทำอะไรได้บ้าง ก็น่าจะพอเป็นตัวอย่างที่ดีในการช่วยตัดสินใจได้แล้วครับ
ที่มา : cultofmac